วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าจริงหรือ?‏ ตอนที่2


....Lewisได้บอกว่า ถ้ามีคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า ก็มีทางเป็นไปได้ 2 ทางด้วยกันคือ 1.เขาอ้างถูก 2.เขาอ้างผิด ถ้าเขาอ้างผิดก็มีทางเป็นไปได้ 2 ทางเช่นกันคือ 1.เขารู้ตัวว่าเขาอ้างผิด 2.เขาไม่รู้ตัวว่าเขาอ้างผิด ถ้าเขาไม่รู้ตัวว่าอ้างผิด เขาก็เป็นคนบ้าอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขารู้ตัวว่าไม่ใช่พระเจ้าแต่ยังอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า เขาก็เป็นคนที่ โกหก หลอกลวง เป็นนักต้มตุ๋น เป็นคนใช้ไม่ได้ เป็นคนถูกผีสิง และสุดท้ายก็เป็นคนโง่ที่สุด เพราะยอมตายในสิ่งที่ตนเองรู้ว่าไม่จริงและไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย...( ไม่มีใครโกหกเพื่อเสียผลประโยชน์ ) .......

เมื่อ Lewis วิเคราะห์เหตุผลตามข้างต้น เขาก็ต้องยอมรับด้วยเหตุผลในสมองแห่งความเข้าใจ และการวินิจฉัยของตัวเขาเองว่า พระเยซูคริสต์ไม่ใช่คนบ้าและไม่ใช่คนที่หลอกลวงมนุษย์ในเมื่อพระองค์ไม่ใช่คนบ้าและคนที่หลอกลวงมนุษย์ ในที่สุด Lewis ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพระเยซูอ้างถูกแล้ว นั่นก็คือ
" พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ที่มารับสภาพเป็นมนุษย์เพื่อใช้ร่างกายของพระองค์รับโทษบาปแทนมนุษย์จริงๆ " ในเมื่อเป็นเช่นนี้ Lewis ก็บอกกับ
ตัวเองว่า " เมื่อผมได้ใคร่ครวญถึงเหตุผลและความจริงนี้แล้ว ผมก็มีทางเลือกแค่ 2 ทางเท่านั้น คือ ปฏิเสธหรือยอมรับพระองค์ และวันนี้ผมจะต้องเลือกตัดสินใจในสิ่งที่ผมไม่อยากจะเลือกที่จะตัดสินใจเช่นนี้เลย " ....สุดท้ายท่านก็ได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ข้างล่างนี้เป็นข้อความสรุปจากคำพูดของท่านประโยคหนึ่งจากหนังสือที่ท่านเขียนให้แก่ผู้อ่านหนังสือของท่าน...

" ถ้าเรามองอย่างผิวเผินเราอาจจะมองเห็นว่า พระเยซูคริสต์เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น แต่ถ้าเราศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลของพระองค์จริงๆแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นจะทำให้เราต้องทำการตัดสินใจว่า ชายคนคนนี้คือคนบ้าคนหลอกลวง หรือเป็นพระเจ้าผู้มารับสภาพเป็นมนุษย์เพื่อใช้ร่างกายของตัวเองในการรับโทษบาปแทนมนุษย์.....สำหรับข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าขอบอกว่า พระเยซูคริสต์ไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ แต่การที่ข้าพเจ้ายอมรับเหตุผลว่าจริง ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ข้าพเจ้าได้รับความรอดได้ ข้าพเจ้าจะต้องยอมรับว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาปและขอพึ่งวางใจในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าจึงจะสามารถรับความรอดได้ "

การเข้ามาในโลกของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่มาแบบไม่มีที่มาที่ไป ในหัวข้อนี้ผมคงไม่พูดถึงรายละเอียดมากนัก นอกจากจะบอกว่า พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ของคริสเตียนนั้นแบ่งเป็น 2 ภาคใหญ่ๆ คือ ภาคพันธสัญญาเดิม ( พระคัมภีร์เดิม ) กับ ภาคพันธสัญญาใหม่ ( พระคัมภีร์ใหม่ ) พระคัมภีร์เดิมนั้นคือหนังสือที่บันทึกก่อนพระเยซูเกิดประมาณ 1,500 ปี พระคัมภีร์ใหม่เป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูคริสต์ได้เข้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ในโลกแล้ว พระคัมภีร์เดิมได้บอกถึง การสร้างโลกของพระเจ้า พระลักษณะของพระเจ้าการตกลงในความผิดบาปของมนุษย์ และการที่พระองค์ทรงจัดเตรียมร่างกายหนึ่งเพื่อจะรับโทษบาปแทนมนุษย์ เนื้อความที่สำคัญของพระคัมภีร์เดิมถ้าจะสรุปเป็นใจความสั้นๆก็จะสรุปได้ดังนี้ ...

" พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์ทุกคนในโลกไม่สามารถที่จะรอดพ้นจากการพิพากษาลงโทษได้เลย ดังนั้นพระองค์จึงทรงจัดเตรียมร่างกายหนึ่ง เพื่อเข้ามาในโลกเพื่อที่จะรับการพิพากษาแทน! ....มนุษย์ทุกคนที่ถ่อมใจยอมรับว่า ตัวเองทำบาปต่อพระเจ้าและสำนึกผิดในความผิดบาปที่ตนเองได้กระทำ โดยพระเจ้าทรงให้คนของพระองค์บันทึกลักษณะของชายผู้หนึ่งที่มีสภาพเป็นพระเจ้าแต่ทรงลงมาเพื่อรับสภาพเป็นมนุษย์เป็นคำทำนายถึง 332 ข้อ ถ้ามนุษย์ในโลกเห็นชายคนใดที่มีลักษณะตรงตามคำทำนาย 332 ข้อเหล่านี้ในพระคัมภีร์เดิม ขอให้รู้เถิดว่า นี่แหละคือพระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อรับสภาพเป็นมนุษย์ เพื่อใช้ร่างกายของพระองค์ในการรับโทษบาปแทนมนุษย์ทุกคนที่ถ่อมใจยอมรับว่า ตนเองได้ทำบาปต่อพระเจ้าและขอเชื่อ พึ่งวางใจในพระบุตรนั้น.....ส่วนใจความสำคัญของพระคัมภีร์ใหม่ก็คือ การที่บันทึกให้มนุษย์ทุกคนทราบว่า บัดนี้ชายคนที่พระคัมภีร์เดิมทำนายนั้นได้เข้ามาในโลกแล้ว นั่นก็คือพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้านั่นเอง " ...

ถ้ามนุษย์ศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูคริสต์จริงๆแล้ว เขาก็ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่า ชีวิตของพระเยซูคริสต์นั้นตรงตามคำทำนายทั้ง 332 ข้อที่พระคัมภีร์เดิมได้ทำนายไว้ทุกประการ พี่น้องครับ ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่เราจะแสวงหาพระเจ้าที่เที่ยงแท้สักที!.....


ขอบคุณข้อความจาก http://www.pangmapha.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น