วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

แคร์คืออะไร

คริสเตียนในครอบครัวความหวังล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการเข้าร่วมกลุ่มสามัคคีธรรมที่เรียนว่า กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิต หรือ กลุ่มแคร์ 

ภาพการทำแคร์ของทีมนมัสการ

สามัคคีธรรม หมายถึง การมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันจนถึงระดับที่มีการเข้าส่วนร่วมชีวิต เป็นหุ้นชีวิตของกันและกัน จนแสดงออกมาเป็นการกระทำที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แบ่งเบาภาระปัญหากันร่วมรับรู้ พระเจ้าปราถนาให้ชีวิตคริสเตียนสามัคคีธรรมกับพระองค์และต่อกันอย่าลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อชีวิตของเราจะได้รับการเสริมสร้างและพัฒนาให้ถึงความไพบูลย์ในพระเยซูคริสต์


ในกลุ่มแคร์มีสมาชิกประมาณ 5-10 คนนั้น สมาชิกแต่ละคนสร้าความสัมพันธ์กันและรู้จักกันอย่างทั่วถึง ทำให้เกิดการแบ่งปันประสบการชีวิต การเรียนรู้พระเจ้าของตนเองในชีวิตประจำวัน คำพยานเรื่องการอัศจรรย์ และการช่วยเหลือของพระเจ้าในด้านต่างๆ มีโอกาสแบ่งเบาภาระร่วมทุกข์ร่วมสุขในปัญหารวมทั้งพระพรของพี่น้องในทุกๆอย่างอย่างจริงใจ นอกจากนี้ยังรวมถึงความช่วยเหลือในภาคปฏิบัติแก่กันและกันนอกเวลาการประชุมด้วย


กุญแจแห่งการสามัคคีธรรม


1. การสามัคคีธรรมที่แท้จริง (1ยน.1:3-4 )
พระองค์ตรัสว่า เรานี่แหละ คือ ชีวิตนิรันดร์ คือที่เรารู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว การดำเนินชีวิตคริสเตียนที่แท้จริงจะต้องรักษาวิถีให้อยู่ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างต่อเนื่องและมีความสามัคคีธรรมแท้จริงในชีวิต “การรักษาการสามัคคีธรรมนำเราสู่ความรอดอันสมบูรณ์ ก็คือ การสามัคคีธรรมกับพี่น้องผู้เชื่อ”


2. การแสดงออกในการดำเนินชีวิตแห่งการสามัคคีธรรมแท้จริง (1ยน.1:5-2:11)


3. “ดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างจึงเป็นการดำเนินชีวิตอยู่บนความจริงแห่งสัจธรรมเพื่อแสดง ถึงความดีทางด้านจริยธรรม” (ฮบ 9:14, กจ.20:28)


อย่ามัวรีรอหรือประนีประนอมในการดำเนินชีวิตอยู่กึ่งกลางระหว่างชีวิตเก่าและชีวิตใหม่


4. กุญแจที่นำให้สัมผัสกับความรักจากพระเจ้า คือ การเชื่อฟังและแสดงออกด้วยการมีชีวิตที่ประพฤติตามพระวัจนะ


5. การมีสามัคคีธรรมกันอย่างลึกซึ้งมิได้เกิดขึ้นเฉพาะเพียงการมาร่วมกลุ่มสามัคคีธรรม(ลนต.19:18)

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของการอ่านพระคัมภีร์

1 พระคัมภีร์เป็นอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ
มธ.4:4 พระเยซูตรัสว่า “มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” ทำไมมนุษย์จึงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว ทำไมอาหารจึงไม่เพียงพอต่อชีวิตของมนุษย์ ก็เพราะว่าชีวิตของมนุษย์มิได้ประกอบไปด้วยร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ชีวิตของเราประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ อาหารเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอสำหรับชีวิตของมนุษย์ จิตใจต้องการความสัมพันธ์กับผู้อื่น และจิตวิญญาณต้องการพระคำของพระเจ้า คือ พระคัมภีร์ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราให้เติบโตขึ้นเหมือนทารกแรกเกิดที่ต้องการน้ำนม ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราก็ต้องการอาหารคือ พระคำของพระเจ้า 1ปต.2:2 ในฐานะคริสเตียน เราจึงเป็นคนฝ่ายวิญญาณ และเราต้องการอาหารฝ่ายวิญญาณคือพระคัมภีร์ ถ้าหากร่างกายเราขาดอาหารไม่ได้ จิตวิญญาณเราก็ขาดการอ่านพระคัมภีร์ไม่ได้เช่นเดียวกัน พระคัมภีร์จึงเป็นความจำเป็นของการดำเนินชีวิตคริสเตียนเพราะเป็นอาหารของเรา เราจึงต้องอ่านพระคัมภีร์ทุก ๆ วัน ไม่ควรขาด

2 พระคัมภีร์นำทิศทางให้แก่ชีวิตของเรา
สดด.119:105 “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมส่องเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์” พระคัมภีร์เปรียบเหมือนความสว่างและโคมส่องทาง เพื่อจะนำทิศทางให้แก่ชีวิตของเราไปในทางที่ถูกต้องตามที่พระเจ้าต้องการ หลายครั้งเราต้องตัดสินใจและเราไม่รู้ว่าควรจะเลือกเดินทางไหนดี แต่เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ เราจะเข้าใจทางที่เราควรจะเดินไป เพราะพระคัมภีร์จะส่องสว่างแก่เรา เราจึงควรอ่านพระคัมภีร์สม่ำเสมอเพื่อเข้าใจแผนการของพระเจ้า


3 พระคัมภีร์เป็นเหมือนกระจกเงา
ทุกครั้งที่เราอ่านพระคัมภีร์ พระคัมภีร์จะเป็นกระจกที่ส่องให้เราเห็นว่าพระเจ้าดีอย่างไร และเห็นตัวเราเองว่าเป็นอย่างไร มีอะไรบกพร่องที่จะต้องเปลี่ยนแปลง และเราจะเปลี่ยนอย่างไร ยก1:23 พระคัมภีร์จึงจำเป็นมากสำหรับชีวิตคริสเตียนที่เราขาดไม่ได้

4 พระคัมภีร์จะเตรียมชีวิตเราให้พรักพร้อมเพื่อจะทำการดีทุกอย่าง
2ทธ.3:16-17 “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์ ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง” พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้ามีฤทธิ์เดช ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้อีกทั้งยังตักเตือนว่ากล่าว ปรับปรุงแก้ไขให้เป็นคนดี และให้ดำเนินชีวิตอยู่ในความชอบธรรมตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อที่จะเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าได้ ด้วยการอ่านและประพฤติตามพระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์ทุก ๆ วันในสิ่งที่เรายังบกพร่อง


5 พระคัมภีร์จะเปลี่ยนแปลงลักษณะชีวิตให้เป็นเหมือนพระเจ้า
พระเยซูตรัสว่า “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบเหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” เมื่อเรามาเป็นคริสเตียนพระเจ้าเรียกร้องให้เรามีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงใหม่ให้เป็นคนดีเหมือนพระเจ้า พระเจ้ามิได้คาดหวังว่า เราจะเปลี่ยนทันทีทันใด แต่พระเจ้าคาดหวังให้เรามีการพัฒนาชีวิตที่มากขึ้นเรื่อยๆ และเราจะเป็นคนดีรอบคอบได้ก็ต่อเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์และตอบสนอง

มาระโก 17: ?

หลังจากจบการเทศน์ประจำสัปดาห์ ศิษยาภิบาลก็พูดขึ้นมาว่า...


“วันอาทิตย์หน้า ศิษยาภิบาลจะเทศน์เรื่องบาปของการโกหก ขอให้ทุกคนเตรียมตัวอ่านมาระโก บทที่ 17 ในพระคัมภีร์มาก่อนด้วยนะ”


ในวันอาทิตย์ถัดมา เมื่อศิษยาภิบาลขึ้นประจำบนแท่นแล้ว ท่านก็เอ่ยปากถาม


“ใครบ้างที่อ่านมาระโก บทที่ 17 มาแล้วบ้าง”


คนในโบสถ์มองหน้ากันไปมา จนในที่สุดมีคนหนึ่งยกมือนำขึ้นก่อน แล้วหลังจากนั้นไม่นานทุกคนในโบสถ์ก็ยกมือขึ้นทั้งหมด


“ดี” ศิษยาภิบาลบอก “วันนี้ทุกคนต้องตั้งใจฟังเทศน์ เรื่องบาปของการโกหกนี้ให้ดี เพราะว่ามาระโก บทที่ 17 มันมีที่ไหนเล่า!!!”


เข้าใจการ นมัสการและทีมนมัสการมากขึ้น

" 1. การนมัสการมีความสำคัญอย่างไร?"
* การ นมัสการทำให้คนใกล้ชิดพระเจ้า ได้ยินเสียงพระเจ้า ให้มีกำลังรวมทั้งทำให้มีชีวิตเปลี่ยนแปลง พร้อมที่จะรับใช้ด้วยความสดใหม่ ที่มีฤทธิ์เดช และการทรงสถิตของพระเจ้า ทำให้ใจคนเชื่อฟังพระเจ้ามากขึ้น และทำให้เรา มีความเชื่อมากขึ้น เพราะเมื่อเราพบพระเจ้าเป็นการส่วนตัว พระเจ้าจะทำให้ใจของเรามั่นคงเข้มแข็ง


" 2. การรับใช้ในทีมนมัสการแตกต่างจากการรับใช้ในส่วนหรือไม่?"
*แตก ต่างที่ว่าการรับใช้ในทีมนั้นนอกจากการอภิบาลดูแลคน และการบริหารงานต่างๆที่ทำเหมือนในส่วนแล้ว ยังต้องมีเวลาไปเรียนเพื่อพัฒนาทักษะต่างๆ และต้องซ้อมทั้งส่วนตัว และส่วนรวมด้วย ดังนั้นจึงต้องพยายามรักษาทั้งชีวิตพร้อมการพัฒนาทักษะด้วย


" 3. ทีมนมัสการ มองดนตรี ในการนมัสการอย่างไร " 
*ดนตรี จะมีฤทธิ์อำนาจปลดปล่อยและแตะต้องคนได้ต้องมาจากคนที่มีชีวิตที่มีฤทธิ์ อำนาจจากพระเจ้า ดนตรีเป็นเพียงอุปกรณ์ที่จะนำคนไปหาพระเจ้า แต่วิญญาณที่อยู่เบื้องหลังดนตรีจะเป็นผู้กำหนดบรรยากาศการนมัสการ หากทักษะไม่พอคนเล่นดนตรีก็จะมัวกังวลและไม่พบพระเจ้า จึงมีผลทำให้คนอื่นไม่พบพระเจ้าด้วย ดังนั้นดนตรีที่ดีก็จะไม่เป็นอุปสรรคแต่เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้คนในคริสตจักรมี ความสดใหม่ในการพบพระเจ้า

" 4. ลักษณะของคนที่จะนมัสการได้อย่างลึกซึ้ง ควรจะต้องมีคุณสมบัติ หรือ ต้องปฏิบัติ หรือต้องปฏิบัติอย่างไร "
*คำว่า WORSHIP มาจากรากศัพท์คำว่า WORTHSHIP หมาย ถึงการเห็นคุณค่า ดังนั้น การนมัสการคือการเห็นคุณค่าพระเจ้า จึงแสดงออกเป็นชีวิตที่แสวงหาพระเจ้า หิวกระหายที่จะรู้จักพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า คนที่จะนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้น ต้องมีพระคำและมีความจริงใจต่อพระเจ้า


" 5. คุณสมบัติของนักดนตรี ที่รับใช้เพื่อการนมัสการ ควรมีลักษณะอย่างไรบ้าง "
*มี ชีวิตเหมือนคน เลวี ปุโรหิต สวมชุดสีขาว คือชีวิต บริสุทธิ์ โปร่งใส รับคำสอนการตักเตือนได้ เชื่อฟัง ตั้งใจ เป็นแบบอย่างในทุกทาง มีท่าทีที่ถูกต้อง คือการปรนนิบัติพระเจ้าและพี่น้อง ถวายเกียรติ แด่พระเจ้า ไม่ใช่แสวงหาชื่อเสียงหรือการนิยมชมชอบจากมนุษย์


" 6. ทีมนมัสการมีกิจกรรมอย่างอื่นอะไรบ้างหรือเปล่า นอกเหนือจากการซ้อมดนตรี และใช้เวลาในด้านต่างๆอย่างไร "
* มีไปเยี่ยมทีมนมัสการ ครน. ซึ่ง ทีมของเรารับผิดชอบ และได้ไปสอนพระคัมภีร์ ด้านการนมัสการ รวมทั้งจัดอบรม workshop เพื่อพัฒนา นักร้อง นักดนตรี ของทีม ครน. มีการจัด retreat ของทีมเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ สร้างความผูกพันกันในทีมเพื่อเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการรับใช้พระเจ้ามากขึ้น


" 7. ทีมนมัสการ มองการนมัสการ อย่างไรบ้าง "
* การนมัสการไม่ใช่เพียงแต่การร้องเพรงวันอาทิตย์ แต่หมายถึง life style คือ ชีวิตประจำวัน ในระหว่างสัปดาห์ที่เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้า โดยการร้องเพลง เล่นดนตรีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแสดงออกถึงความรักและการเห็นคุณค่าของพระ เจ้าในชีวิตของเรา

ทำไมพระเยซูจึงต้องตาย?

เราได้กล่าวไปแล้วว่า มีจุดไหนเกิดขัดข้องขึ้นมาในโลกนี้และกับเราแต่ละคน นั่นก็คือเราทุกคนเป็นคนบาป

เราไม่สามารถหวนกลับคืนไปหาพระเจ้าได้ด้วยตัวเราเอง คือเราไม่ดีพอ เราต้องการใครสักคนหนึ่งซึ่งดีพร้อมจนหาที่ติไม่ได้ ปราศจากบาป และสามารถนำเรากลับไปคืนดี มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ดังเดิม เราต้องการผู้ช่วยกู้เรา และนี่คือเหตุผลที่พระเยซู ผู้ช่วยกู้ของพระเจ้า เสด็จมา
ถ้าคุณตกน้ำทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น คุณมิได้ปรารถนาให้ใครมาสอนหลักเบื้องต้นของการว่ายน้ำ คุณต้องการคนช่วยฉุดขึ้นมา

แต่ว่าพระเยซูจะช่วยได้อย่างไรเล่า พระองค์มีชีวิตอยู่ และก็ตายไปเมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว พระองค์จะช่วยให้ฉันหลุดพ้นจากบาปในทุกวันนี้ได้อย่างไร ?


thank you photo from http://extracruem.wordpress.com

พระลักษณะของพระเจ้า เหมือนกับเหรียญเงิน ซึ่งมีสองด้าน คือ ความยุติธรรม และความรัก
เพราะความยุติธรรม พระเจ้าต้องกล่าวตำหนิเรา เนื่องจากความบาปและความผิดพลาด เราจำต้องได้รับโทษ เราคงไม่นับถือผู้พิพากษาที่ปล่อยอาชญากรที่มีความผิดติดตัวไป

เพราะความรัก พระองค์ปรารถนาให้มนุษย์ชายหญิงกลับมาคืนดี เป็นมิตรสหายของพระองค์ดังเดิม
เมื่อพระเยซูตายบนกางเขน ทั้งความยุติธรรมและความรักของพระเจ้าก็พบกันพอดี ความบาปคู่กับการลงโทษ แต่เพราะควมรักพระเจ้าจึงส่งพระบุตรของพระองค์มาตายแทนเรา รองรับโทษทัณฑ์แห่งความตายที่สมควรจะตกกับเรา
เปโตรเป็นสาวกติดตามพระเยซูที่ได้เห็นความตายของพระเยซู และบันทึกไว้ว่า

"ด้วยว่าพระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความผิดบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า ฝ่ายกายพระองค์จึงสิ้นพระชนม์ แต่ฝ่ายวิญญาณทรงคืนพระชนม์" (1เปโตร 3:18)

ก่อนสิ้นใจ พระเยซูทรงร้องว่า "สำเร็จแล้ว" นี่เป็นเสียงโห่ร้องด้วยชัยชนะว่า "ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว" หนี้บาปอันมหาศาลของเราได้รับการชดใช้ครั้งเดียวเป็นพอ
เดี๋ยวนี้ หนทางไปยังพระเจ้าได้เปิดกว้างแล้ว เราสามารถรับการอภัยโทษบาปได้เปล่า ๆ และสามารถมีสัมพันธภาพอันอัศจรรย์ได้ ณ บัดนี้ ถ้าหากเราร้องขอ

เขียนโดย นอร์แมน วอร์เร็น
แปลโดย กนกบรรณสาร
จากหนังสือ ชีวิตฉงน

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าจริงหรือ?‏ ตอนที่2


....Lewisได้บอกว่า ถ้ามีคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า ก็มีทางเป็นไปได้ 2 ทางด้วยกันคือ 1.เขาอ้างถูก 2.เขาอ้างผิด ถ้าเขาอ้างผิดก็มีทางเป็นไปได้ 2 ทางเช่นกันคือ 1.เขารู้ตัวว่าเขาอ้างผิด 2.เขาไม่รู้ตัวว่าเขาอ้างผิด ถ้าเขาไม่รู้ตัวว่าอ้างผิด เขาก็เป็นคนบ้าอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขารู้ตัวว่าไม่ใช่พระเจ้าแต่ยังอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า เขาก็เป็นคนที่ โกหก หลอกลวง เป็นนักต้มตุ๋น เป็นคนใช้ไม่ได้ เป็นคนถูกผีสิง และสุดท้ายก็เป็นคนโง่ที่สุด เพราะยอมตายในสิ่งที่ตนเองรู้ว่าไม่จริงและไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย...( ไม่มีใครโกหกเพื่อเสียผลประโยชน์ ) .......

เมื่อ Lewis วิเคราะห์เหตุผลตามข้างต้น เขาก็ต้องยอมรับด้วยเหตุผลในสมองแห่งความเข้าใจ และการวินิจฉัยของตัวเขาเองว่า พระเยซูคริสต์ไม่ใช่คนบ้าและไม่ใช่คนที่หลอกลวงมนุษย์ในเมื่อพระองค์ไม่ใช่คนบ้าและคนที่หลอกลวงมนุษย์ ในที่สุด Lewis ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพระเยซูอ้างถูกแล้ว นั่นก็คือ
" พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ที่มารับสภาพเป็นมนุษย์เพื่อใช้ร่างกายของพระองค์รับโทษบาปแทนมนุษย์จริงๆ " ในเมื่อเป็นเช่นนี้ Lewis ก็บอกกับ
ตัวเองว่า " เมื่อผมได้ใคร่ครวญถึงเหตุผลและความจริงนี้แล้ว ผมก็มีทางเลือกแค่ 2 ทางเท่านั้น คือ ปฏิเสธหรือยอมรับพระองค์ และวันนี้ผมจะต้องเลือกตัดสินใจในสิ่งที่ผมไม่อยากจะเลือกที่จะตัดสินใจเช่นนี้เลย " ....สุดท้ายท่านก็ได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ข้างล่างนี้เป็นข้อความสรุปจากคำพูดของท่านประโยคหนึ่งจากหนังสือที่ท่านเขียนให้แก่ผู้อ่านหนังสือของท่าน...

" ถ้าเรามองอย่างผิวเผินเราอาจจะมองเห็นว่า พระเยซูคริสต์เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น แต่ถ้าเราศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลของพระองค์จริงๆแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นจะทำให้เราต้องทำการตัดสินใจว่า ชายคนคนนี้คือคนบ้าคนหลอกลวง หรือเป็นพระเจ้าผู้มารับสภาพเป็นมนุษย์เพื่อใช้ร่างกายของตัวเองในการรับโทษบาปแทนมนุษย์.....สำหรับข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าขอบอกว่า พระเยซูคริสต์ไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ แต่การที่ข้าพเจ้ายอมรับเหตุผลว่าจริง ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ข้าพเจ้าได้รับความรอดได้ ข้าพเจ้าจะต้องยอมรับว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาปและขอพึ่งวางใจในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าจึงจะสามารถรับความรอดได้ "

การเข้ามาในโลกของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่มาแบบไม่มีที่มาที่ไป ในหัวข้อนี้ผมคงไม่พูดถึงรายละเอียดมากนัก นอกจากจะบอกว่า พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ของคริสเตียนนั้นแบ่งเป็น 2 ภาคใหญ่ๆ คือ ภาคพันธสัญญาเดิม ( พระคัมภีร์เดิม ) กับ ภาคพันธสัญญาใหม่ ( พระคัมภีร์ใหม่ ) พระคัมภีร์เดิมนั้นคือหนังสือที่บันทึกก่อนพระเยซูเกิดประมาณ 1,500 ปี พระคัมภีร์ใหม่เป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูคริสต์ได้เข้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ในโลกแล้ว พระคัมภีร์เดิมได้บอกถึง การสร้างโลกของพระเจ้า พระลักษณะของพระเจ้าการตกลงในความผิดบาปของมนุษย์ และการที่พระองค์ทรงจัดเตรียมร่างกายหนึ่งเพื่อจะรับโทษบาปแทนมนุษย์ เนื้อความที่สำคัญของพระคัมภีร์เดิมถ้าจะสรุปเป็นใจความสั้นๆก็จะสรุปได้ดังนี้ ...

" พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์ทุกคนในโลกไม่สามารถที่จะรอดพ้นจากการพิพากษาลงโทษได้เลย ดังนั้นพระองค์จึงทรงจัดเตรียมร่างกายหนึ่ง เพื่อเข้ามาในโลกเพื่อที่จะรับการพิพากษาแทน! ....มนุษย์ทุกคนที่ถ่อมใจยอมรับว่า ตัวเองทำบาปต่อพระเจ้าและสำนึกผิดในความผิดบาปที่ตนเองได้กระทำ โดยพระเจ้าทรงให้คนของพระองค์บันทึกลักษณะของชายผู้หนึ่งที่มีสภาพเป็นพระเจ้าแต่ทรงลงมาเพื่อรับสภาพเป็นมนุษย์เป็นคำทำนายถึง 332 ข้อ ถ้ามนุษย์ในโลกเห็นชายคนใดที่มีลักษณะตรงตามคำทำนาย 332 ข้อเหล่านี้ในพระคัมภีร์เดิม ขอให้รู้เถิดว่า นี่แหละคือพระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อรับสภาพเป็นมนุษย์ เพื่อใช้ร่างกายของพระองค์ในการรับโทษบาปแทนมนุษย์ทุกคนที่ถ่อมใจยอมรับว่า ตนเองได้ทำบาปต่อพระเจ้าและขอเชื่อ พึ่งวางใจในพระบุตรนั้น.....ส่วนใจความสำคัญของพระคัมภีร์ใหม่ก็คือ การที่บันทึกให้มนุษย์ทุกคนทราบว่า บัดนี้ชายคนที่พระคัมภีร์เดิมทำนายนั้นได้เข้ามาในโลกแล้ว นั่นก็คือพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้านั่นเอง " ...

ถ้ามนุษย์ศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูคริสต์จริงๆแล้ว เขาก็ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่า ชีวิตของพระเยซูคริสต์นั้นตรงตามคำทำนายทั้ง 332 ข้อที่พระคัมภีร์เดิมได้ทำนายไว้ทุกประการ พี่น้องครับ ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่เราจะแสวงหาพระเจ้าที่เที่ยงแท้สักที!.....


ขอบคุณข้อความจาก http://www.pangmapha.com

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าจริงหรือ?‏ ตอนที่1




พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าจริงหรือ?


ก่อนที่จะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราต้องทราบบริบทก่อนว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร? หลังจากมนุษย์เราได้ทำความผิดบาป ( ซึ่งทุกคนล้วนแต่เป็นคนบาปและได้กระทำบาปทั้งสิ้น ) ในเมื่อมนุษย์ไม่สามารถตายเพื่อรับโทษแทนกันได้เพราะมนุษย์ทุกคนมีบาป ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ( ถ้าพระองค์ไม่บังเกิดเป็นมนุษย์ก็จะไม่สามารถตายไถ่บาปให้กับมนุษย์ได้เลย ) พระคัมภีร์เรียกพระเจ้าที่ส่งพระเยซูคริสต์มาว่า พระบิดา และพระเจ้าที่รับการส่งจากพระเจ้าที่เป็นพระบิดาให้มารับสภาพเป็นมนุษย์พระคัมภีร์เรียกว่า พระบุตร ในเมื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงมีพระบิดาเป็นพระเจ้า พระบิดาทรงให้กำเนิดพระองค์ พระองค์จึงทรงเป็นพระเจ้าด้วย...
เรื่องนี้ไม่ยากที่จะเข้าใจได้เลย ผมจะยกตัวอย่างให้พี่น้องเข้าใจนะครับ.... ถ้าผมถามพี่น้องว่า

" ผมเป็นพระเจ้าหรือมนุษย์? " คำตอบก็คือ " เป็นมนุษย์ " ...." และในเมื่อผมเป็นมนุษย์ ลูกผมที่เกิดออกมาล่ะเป็นอะไร?....แน่นอนก็เป็นมนุษย์ด้วย "............ในความเป็นมนุษย์ของนั้นผมกับลูกใครใหญ่กว่ากัน คำตอบก็คือ " เท่าเทียมกันในเนื้อแท้ที่เป็นมนุษย์ เท่าเทียมกันในความเป็นคน แต่แตกต่างกันตรงหน้าที่! "

เช่นเดียวกัน......พระเจ้าเป็นมนุษย์หรือเป็นพระเจ้า?..คำตอบก็คือ " เป็นพระเจ้า" ... ในเมื่อพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าลูกที่เกิดมาเป็นอะไร?.....คำตอบก็คือ " เป็นพระเจ้า ".....ในความเป็นพระเจ้านั้น พระบิดากับพระบุตรใครใหญ่กว่ากัน? คำตอบก็คือ " เท่าเทียมกันในเนื้อแท้ที่เป็นพระเจ้า แต่แตกต่างกันตรงหน้าที่! " ...ถ้าพี่น้องไปเปิดดูในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ยอห์น 10.22-39 พี่น้องจะเห็นความจริงนี้อย่างชัดเจนว่า พระเยซูคริสต์อ้างตัวว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า นั่นก็คือพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย!...

บทสรุปเนื้อหาของพระคัมภีร์ตอนนี้ ความว่า ครั้งหนึ่งพวกยิวได้ถามพระเยซูคริสต์ว่า " ท่านเป็นอะไรกับพระเจ้า? " พระเยซูบอกว่า " เราเป็นบุตรของพระบิดา เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดา " พวกยิวจึงหยิบก้อนหินจะขว้างพระเยซู พระองค์จึงถามเขาว่า " ท่านจะขว้างเราเพราะสาเหตุอะไร เราทำผิดอะไรหรือ? " พวกยิวตอบว่า " เราจะขว้างท่านไม่ใช่เพราะการกระทำดีของท่าน แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า "...ยอห์น10.30-33


คำพยานจากผู้ที่มีเหตุผล และต่อมาต้องยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เพราะเหตุผลของตนเอง...เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว มีนักปรัชญาชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อ C.S.Lewis ท่านเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ มหาวิทยาลัย แครมบริดจ์ ที่อังกฤษ แต่ก่อนหน้านั้น ท่านเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผู้สร้าง ไม่เชื่อในความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ ท่านได้โต้แย้งกับเพื่อนอาจารย์ที่เป็นคริสเตียนด้วยกันอย่างรุนแรง และเพื่อนของท่านได้เสนอให้ท่านอ่านพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ท่านจึงได้อ่านแต่ไม่ใช่เพื่อจะเรียนรู้ แต่เพื่อที่จะหาข้อผิดผลาดเพื่อจับผิดพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ และเมื่อท่านอ่านมาถึงจุดที่ว่า " พระเยซูคริสต์อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกนี้สร้างมนุษย์ และอ้างว่าตัวเองเข้ามาในโลกเพื่อรับสภาพเป็นร่างกายมนุษย์ เพื่อจะใช้ร่างกายนี้รับโทษบาปแทนมนุษย์ " 

....Lewisได้บอกว่า ถ้ามีคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า ก็มีทางเป็นไปได้ 2 ทางด้วยกันคือ 1.เขาอ้างถูก 2.เขาอ้างผิด ถ้าเขาอ้างผิดก็มีทางเป็นไปได้ 2 ทางเช่นกันคือ 1.เขารู้ตัวว่าเขาอ้างผิด 2.เขาไม่รู้ตัวว่าเขาอ้างผิด ถ้าเขาไม่รู้ตัวว่าอ้างผิด เขาก็เป็นคนบ้าอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขารู้ตัวว่าไม่ใช่พระเจ้าแต่ยังอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า เขาก็เป็นคนที่ โกหก หลอกลวง เป็นนักต้มตุ๋น เป็นคนใช้ไม่ได้ เป็นคนถูกผีสิง และสุดท้ายก็เป็นคนโง่ที่สุด เพราะยอมตายในสิ่งที่ตนเองรู้ว่าไม่จริงและไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย...( ไม่มีใครโกหกเพื่อเสียผลประโยชน์ ) .......

ขอบคุณข้อความจาก http://www.pangmapha.com


อ่านเพิ่มเติม>>




มันจะสิ้นสุดลงอย่างไร‏?

ต้องยอมรับ ยอมรับว่าคุณเป็นคนบาปในสายพระเนตรของพระเจ้า มีหลายอย่างที่คุณพูด คิด ทำ ทั้ง ๆ ที่ลึก ๆ คุณรู้ว่าผิด คุณยินดีที่จะหันจากความคิด คำพูด การกระทำ และนิสัยบางอย่างที่รู้อยู่ว่าไม่ถูกต้อง

ต้องเชื่อ เชื่อในพระเยซูว่าตายบนกางเขน ทรงแบกรับความผิดและโทษบาปของคุณ จงเชื่อว่าพระเยซูวางชีวิตของพระองค์ลง เพื่อรับการลงโทษที่สมควรจะตกกับคุณ

ต้องพิจารณา การคืนดีกับพระเจ้าหมายถึงการต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเป็นเจ้าชีวิตของคุณ นั่นหมายความว่า 
ทุกส่วนในชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการงาน มิตรภาพ เวลา เงินทอง ทุกอย่างจำต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์

ต้องทำ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของคุณ ในฐานะเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อจะช่วยกู้คุณ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคุณ เพื่อจะควบคุมคุณ และเป็นสหายของคุณที่จะอยู่กับคุณเสมอไป

มีหลายคนพลาดในขั้นสุดท้ายนี้ ดังนั้น เขาจึงไม่มีโอกาสได้รู้จักพระเยซูคริสต์เลยคงไม่มีตอนใดชัดเจนเท่ากับหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์ คือ วิวรณ์ พระเยซูเองตรัสว่า


"นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา" (วิวรณ์ 3:20)

ชีวิตคุณเปรียบเหมือนบ้าน พระเยซูคริสต์คอยอยู่ข้างนอก พระองค์จะไม่ใช้กำลังพังเข้าไป เพราะนั่นไม่ใช่หนทางแห่งความรัก พระองค์รอให้คุณเชื้อเชิญ กลอนอยู่ข้างในคุณเพียงแค่ถอดกลอนเปิดออกมา คุณจะเป็นคริสเตียนอย่างแท้จริง เมื่อคุณเปิดประตูชีวิตของคุณออก เชิญพระองค์เข้ามาประทับในชีวิตจิตใจของคุณ คุณเคยทำอย่างนี้แล้วหรือยัง

พระเยซูอยู่ข้างนอกหรือข้างในชีวิตของคุณ? 
คุณจะให้พระองค์เข้ามาหรือจะเปล่อยให้พระองค์อยู่ข้างนอกต่อไป ?
คุณไม่สามารถละเลยคำชวนเชิญของพระองค์ได้ตลอดไป วันเวลาหมดไปอย่างรวดเร็ว หลังจากตายไปแล้วไม่มีโอกาสจะต้อนรับพระคริสต์ได้อีก มันสายเกินไปเสียแล้ว
ถ้าคุณพร้อม ก็ขอเชิญคุณเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์อย่างจริงจัง หาที่สงบอยู่เงียบ ๆ ลำพัง และลองเปิดไปที่หน้า คำอธิษฐาน และอธิษฐานตาม


เขียนโดย นอร์แมน วอร์เร็น

แปลโดย กนกบรรณสาร

จากหนังสือ ชีวิตฉงน